วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

วิธีการกราบพระที่ถูกต้อง

     การกราบ (อภิวาท) เป็นการแสดงความเคารพด้วย วิธีนั่งประนมมือขึ้นเสมอหน้าผากแล้วน้อมศีรษะ ลงจรดพื้นหรือจรดมือ ณ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วน้อมศีรษะลงบนมือนั้น เช่น กราบลงบนตักก็อนุโลมถือว่าเป็นกราบ ถ้าหมอบแล้วน้อม ศีรษะจรดมือที่ประนมถึงพื้นเรียกว่า หมอบกราบ การกราบมี ๒ ลักษณะ คือ การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ และการกราบผู้ใหญ่ การกราบแบญ จางคประดิษฐ์ ใช้กราบพระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระ ธรรม พระสงฆ์ การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ หมายถึง การ ที่ให้อวัยวะทั้ง ๕ คือ เข่าทั้ง ๒ มือทั้ง ๒ และหน้าผากจรดพื้น การกราบจะมี ๓ จังหวะ และจะต้องนั่งอยู่ในท่าเตรียมกราบ 


ท่าเตรียมกราบ
ชาย นั่งคุกเข่าปลายเท้าตั้ง นั่ง บนส้นเท้า มือทั้งสองวางบนหน้าขาทั้ง สองข้าง (ท่าเทพบุตร) หญิง นั่งคุกเข่าปลาย เท้าราบ นั่งบนส้นเท้า มือทั้งสองวางบน หน้าขาทั้งสองข้าง (ท่าเทพธิดา) จังหวะ ที่ ๑ ( อัญชลี) ยกมือขึ้นประนมระหว่างอก ปลายนิ้วชิดกันตั้งขึ้นแนบตัวไม่กางศอก


จังหวะ ที่ ๑ ( อัญชลี)
จังหวะที่ ๒ (วันทา) ยกมือขึ้น พร้อมกับก้มศีรษะ โดยให้ปลายนิ้วชี้จรดหน้า ผาก


จังหวะที่ ๒ (วันทา)
จังหวะที่ ๓ (อภิวาท) ทอดมือลง กราบ ให้มือและแขนทั้งสองข้างลงพร้อมกัน มือคว่ำห่างกันเล็กน้อยพอให้หน้าผากจรด พื้นระหว่างมือได้


จังหวะที่ ๓ (อภิวาท)
ชาย ให้กางศอกทั้งสอง ข้างลง ต่อจากเข่าขนานไปกับพื้น หลังไม่ โก่ง หญิง ให้ศอกทั้งสองข้างคร่อมเข่าเล็ก น้อย ทำสามจังหวะให้ครบสามครั้ง แล้วยก มือขึ้นจบโดยให้ปลายนิ้วชี้จรดหน้าผาก แล้วปล่อยมือลง การกราบไม่ควรให้ช้าหรือ เร็วเกินไป

แหล่งที่มาของเนื้อหา : http://www.phuttha.com/คลังความรู้/ศาสนพิธีสำหรับพุทธศาสนิกชน/
                                             วิธีการกราบพระที่ถูกต้อง
แหล่งที่มาของวีดีโอ : https://www.youtube.com/watch?v=qTMUcoQTqVM

พระราชประวัติในหลวง รัชกาลที่ 9

     พระราชประวัติในหลวง รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช วันพระราชสมภพ การศึกษา การขึ้นครองราชย์ พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส พระบรมราชาภิเษก ในหลวงทรงพระผนวช รวมถึงพระอัจฉริยภาพของในหลวงด้านต่างๆ




 ทรงพระราชสมภพ 


        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระนามเดิมว่า “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช” ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) และหม่อมสังวาลย์

ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบอร์น (MOUNT AUBURN) รัฐแมสซาชูเซตส์ (MASSACHUSETTS) ประเทศสหรัฐอเมริกา

 การศึกษา 

        เมื่อพระชนมายุได้ 5 พรรษา ทรงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพมหานคร ต่อจากนั้นทรงเสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนเมียร์มองต์ (MERRIMENT) เมืองโลซานน์ (LASAGNA) ในปี พ.ศ. 2478 ได้ทรงเข้าศึกษาต่อที่ CEDE NOUBELLE DE LA SUES ROMANCE CHILLY ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนที่รับนักเรียนนานาชาติและทรงได้รับประกาศนียบัตร บาเชอลิเย เอ แลทร์ จากการศึกษาดังกล่าว ทรงรอบรู้หลายภาษา ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ ละติน ในระดับอุดมศึกษาทรงเข้าศึกษาใน แผนกวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมืองโลซานน์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2481 ได้เสด็จนิวัติกลับประเทศไทยพร้อมด้วยพระบรมเชษฐาธิราช พระบรมราชชนนี และสมเด็จพระนางเจ้าพี่นางเธอ

 ครองราชย์ 

        ขณะที่พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช พระชนมพรรษา 18 พรรษา รัฐบาลได้กราบบังคมทูลอัญเชิญขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนนั้น ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และรัฐบาลได้แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการ บริหารราชการแผ่นดินแทนพระองค์ เนื่องจากยังทรงพระเยาว์ และต้องทรงศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ

         เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2489 ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ กรุงโลซานน์ แม้พระองค์จะทรงโปรดวิชาวิศวกรรมศาสตร์ แต่เพื่อประโยชน์ในการปกครองประเทศได้ทรงเปลี่ยนมาศึกษาวิชาการปกครองแทน เช่น วิชากฎหมาย อักษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ภูมิศาสตร์ นอกจากนี้ ทรงศึกษา และฝึกฝนการดนตรีด้วยพระองค์เองด้วย

        ใน พ.ศ. 2491 ระหว่างทรงศึกษาอยู่ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงขับรถยนต์ไปทรงร่วมงานที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส ได้ทรงพบและมีพระราชหฤทัยสนิทเสน่หาในหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส

        ในปีเดียวกันนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรง ทรงบาดเจ็บที่พระพักตร์ พระเนตรขวา และพระเศียร ทรงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมอร์เซส์ โปรดฯ ให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์มาเฝ้าฯ ถวายการดูแลอย่างใกล้ชิดพระสัมพันธภาพจึงแน่นแฟ้นขึ้น และต่อมาได้ทรงหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2492 โดยได้พระราชทานพระธำมรงค์วงที่สมเด็จพระบรมราชชนกหมั้นสมเด็จพระราชชนนี

        สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงได้รับการอภิบาลอย่างดียิ่งจากสมเด็จพระราชชนนี จึงมีพระปรีชาสามารถปราดเปรื่องและมีพระจริยวัตรเปี่ยมด้วยคุณธรรมทุกประการ ซึ่งน้อมนำให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงดำรงสิริราชสมบัติเพียบพร้อมด้วยทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตรธรรม และราชสังคหวัตถุ ทรงเจริญด้วยพระเกียรติคุณบุญญาธิการเจิดจำรัส ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งปวงเพื่อประโยชน์สุขของปวงชน เป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญทุกทิศานุทิศในเวลาต่อมาตราบจนปัจจุบัน 

 พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 

        เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2493 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศไทย โปรดเกล้าฯให้ตั้งการพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ระหว่างวันที่ 28-30 มีนาคม 2493 และเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 ทรงประกอบพิธีราชาภิเษกสมรส กับ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ที่วังสระปทุม โดยสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวสาอัยยิกาเจ้า พระราชทานหลั่งน้ำพระมหาสังข์ ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายเช่นเดียวกับประชาชน และได้ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์

        หลังจากนั้น ได้เสด็จไปประทับพักผ่อน ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน และที่นี่เป็นแหล่งเกิดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริโครงการแรกคือ พระราชทาน “ถนนสายห้วยมงคล” ให้แก่ “ลุงรวย” และชาวบ้านที่มาช่วยกันเข็นรถพระที่นั่งขึ้นจากหล่มดิน ทั้งนี้เพราะแม้ “ห้วยมงคล” จะอยู่ห่างอำเภอหัวหิน เพียง 20 กิโลเมตร แต่ไม่มีถนนหนทาง ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนในการดำรงชีวิตมาก ถนนสายห้วยมงคลนี้จึงเป็นถนนสายสำคัญที่นำไปสู่โครงการในพระราชดำริ เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่พสกนิกรอีกจำนวนมากกว่า 2,000 โครงการในปัจจุบัน

 พระบรมราชาภิเษก 

        วันที่ 5 พฤษภาคม 2493 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณขัตติยราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระมหาราชวัง เฉลิมพระปรมาภิไธยตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า

        “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร” และได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการเป็นสัจวาจาว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม”

        ในการนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศ สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ พระอัครมเหสีเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี

        วันที่ 5 มิถุนายน 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ไปยังสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้งเพื่อทรงรักษาพระสุขภาพ และเสด็จพระราชดำเนินนิวัติพระนคร เมื่อ 2 ธันวาคม 2494 ประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และพระที่นั่งอัมพรสถาน

        ทั้งสองพระองค์มีพระราชธิดา และพระราชโอรส 4 พระองค์ดังนี้

        1. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติเมื่อ 5 เมษายน 2494 ณ โรงพยาบาลมองซัวนี่ โลซานน์
        2. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ฯ ประสูติเมื่อ 28 กรกฎาคม 2495 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมา ทรงได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อ 28 กรกฎาคม 2515
        3. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลนโสภาคย์ ประสูติเมื่อ 2 เมษายน 2498 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ภายหลังทรงได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2520
        4. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติเมื่อ 4 กรกฎาคม 2500 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน

 ทรงพระผนวช 

        เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศวิหาร ปฏิบัติพระศาสนกิจ เป็นเวลา 15 วัน ระหว่างนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินี ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ต่อมาจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

        ในรัชกาลนี้ได้ทรงพระกรุณาสถาปนาพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมชนกนาถขึ้นเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงสถาปนา สมเด็จพระราชชนนี เป็น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และทรงประกอบพระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลใหม่ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2539 เพื่อให้สมพระเกียรติตามโบราณขัตติยราชประเพณี ทั้งนี้ด้วยพระจริยวัตรอันเปี่ยมด้วยพระกตัญญูกตเวทิตาธรรมอันเป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญพระปรมาภิไธยใหม่ที่ทรงสถาปนาคือ

        “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล อดุลยเดชวิมลรามาธิบดี จุฬาลงกรณราชปรียวรนัดดา มหิตลานเรศวรางกูร ไอศูรยสันตติวงศวิสุทธ์ วรุตมขัตติยศักตอรรคอุดม จักรีบรมราชวงศนิวิฐ ทศพิธราชธรรมอุกฤษฎนิบุณ อดุลยกฤษฎาภินิหารรังสฤษฏ์ สุสาธิตบูรพาธิการ ไพศาลเกียรติคุณอดุลพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ ธัญอรรคลักษณวิจิตร โสภาคย์สรรพางค์ มหาชโนตมงคประณตบาทบงกชยุคล อเนกนิกรชนสโมสรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฏลเศวตฉัตราดิฉัตร สรรพรัฐทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวไศรย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ วิศิษฏศักตอัครนเรศราธิบดี เมตตากรุณา สีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฎาธิบดี พระอัฐมรามาธิบดินทรสยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร”

 พระราชกรณียกิจ 

        ตั้งแต่พุทธศักราช 2502 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงกระชับสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และ เอเชีย และได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ทุกภาคทรงประจักษ์ในปัญหาของราษฎรในชนบทที่ดำรงชีวิตด้วยความยากจน ลำเค็ญและด้อยโอกาส ได้ทรงพระวิริยะอุตสาหะหาทางแก้ปัญหาตลอดมาตราบจนปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่า ทุกหนทุกแห่งบนผืนแผ่นดินไทยที่รอยพระบาทได้ประทับลง ได้ทรงขจัดทุกข์ยากนำความผาสุกและทรงยกฐานะความเป็นอยู่ของราษฎร ให้ดีขึ้นด้วยพระบุญญาธิการและพระปรีชาสามารถปราดเปรื่อง พร้อมด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์สุขของราษฎร และเพื่อความเจริญพัฒนาของประเทศชาติตลอดระยะเวลาโดยมิได้ทรงคำนึงประโยชน์สุขส่วนพระองค์เลย

        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานโครงการนานัปการมากกว่า 2,000 โครงการ ทั้งการแพทย์สาธารณสุข การเกษตร การชลประทาน การพัฒนาที่ดิน การศึกษา การพระศาสนา การสังคมวัฒนธรรม การคมนาคม ตลอดจนการเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรในชนบท ทั้งยังทรงขจัดปัญหาทุกข์ยากของประชาชนในชุมชนเมือง เช่น ทรงแก้ปัญหาการจราจรอุทกภัยและปัญหาน้ำเน่าเสียในปัจจุบัน ได้ทรงริเริ่มโครงการการช่วยสงเคราะห์ และอนุรักษ์ช้างของไทยอีกด้วย

        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตรากตรำพระวรกายทรงงานอย่างมิทรงเหน็ดเหนื่อย แม้ในยามทรงพระประชวร ก็มิได้ทรงหยุดยั้งพระราชดำริเพื่อขจัดความทุกข์ผดุงสุขแก่พสกนิกร กลางแดดแผดกล้าพระเสโทหลั่งชุ่มพระพักตร์ และพระวรกายหยาดตกต้องผืนปฐพีประดุจน้ำทิพย์มนต์ชโลมแผ่นดินแล้งร้าง ให้กลับคืนความอุดมสมบูรณ์นับแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชตราบจนปัจจุบัน

        แม้ในยามประเทศประสบภาวะเศรษฐกิจ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2539 เป็นต้นมา ก็ได้พระราชทานแนวทางดำรงชีพแบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” และ “ทฤษฎีใหม่” ให้ราษฎรได้พึ่งตนเอง ใช้ผืนแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดประกอบอาชีพอยู่กินตามอัตภาพซึ่งราษฎรได้ยึดถือปฏิบัติเป็นผลดีอยู่ในปัจจุบัน

 พระอัจฉริยภาพ 

        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานความรักอันยิ่งใหญ่แก่อาณาประชาราษฎร์ พระราชภารกิจอันหนักเพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร์ ปรากฏเป็นที่ประจักษ์เทิดทูนพระเกียรติคุณทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวโลก จึงทรงได้รับการสดุดีและการทูลเกล้าฯ ถวายปริญญากิตติมศักดิ์เป็นจำนวนมากทุกสาขาวิชาการ ทั้งยังมีพระอัจฉริยภาพด้านดนตรีอย่างสูงส่ง ทรงพระราชนิพนธ์เพลงอันไพเราะนับแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบันรวม 47 เพลง ซึ่งนักดนตรีทั้งไทย และต่างประเทศนำไปบรรเลงอย่างแพร่หลาย เป็นที่ประจักษ์ในพระอัจฉริยภาพจนสถาบันดนตรีในออสเตรเลียได้ทูลเกล้าฯ ถวายสมาชิกภาพกิตติมศักดิ์แด่พระองค์ นอกจากนั้นยังทรงเป็นนักกีฬาชนะเลิศรางวัลเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ทรงได้รับยกย่องเป็น “อัครศิลปิน” ของชาตินอกจากทรงพระปรีชาสามารถด้านดนตรีแล้วยังทรงสร้างสรรค์งานจิตรกรรมและวรรณกรรมอันทรงคุณค่าไว้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของชาติ เช่น ทรงพระราชนิพนธ์ แปลเรื่อง ติโตนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระและพระราชนิพนธ์เรื่องชาดกพระมหาชนก พระราชทานคติธรรมในการดำรงชีวิตด้วยความวิริยะอุตสาหะอดทนจนพบความสำเร็จแก่พสกนิกรทั้งปวง

        ปวงชนชาวไทยต่างมีความจงรักภักดีีเป็นที่ยิ่งดังปรากฏว่าในวาระสำคัญ เช่น ศุภวาระเถลิงถวัลยราชครบ 25 ปี พระราชพิธีรัชดาภิเษก 9 มิถุนายน 2514 พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 5 ธันวาคม 2530 พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกทรงดำรงสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ 2 กรกฎาคม 2531 มหามงคลสมัยฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี 9 มิถุนายน 2539 และในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542 รัฐบาลและประชาชนชาวไทยได้พร้อมใจกันจัดงานเฉลิมพระเกียรติและถวายพระพรชัยมงคลด้วยความกตัญญูกตเวที สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างสมพระเกียรติทุกวาระ

แหล่งที่มา : http://king.kapook.com/history.php

6 สิ่ง ควรรู้ เพื่อ ดูแลลูก เดือนแรก



     อย่าปล่อยให้ช่วงเวลา 1 เดือนแรกหลังคลอดพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเราหัวหมุน เพราะอันที่จริง มีสิ่งต่างๆ ที่เราต้องทำ เรียนรู้ และปรับตัวกับลูกรักวัยแบเบาะของเรามากมายนัก นับตั้งแต่ลูกแรกเกิดจนอายุครบ 1 เดือน เป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิถีชีวิตของครอบครัว จากที่เคยมีกันอยู่สองคน (ถ้าเพิ่งจะมีลูกคนแรก) ก็มีสมาชิกตัวเล็กๆเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง เป็นหนึ่งเดียวที่มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง จะพูดจาสื่อสารกับใครก็ยังไม่ได้ ได้แต่ร้องไห้ จะกินจะนอนอย่างไร ชอบให้อุ้มอย่างไร ล้วนเป็นปริศนาที่แสนท้าทายสำหรับพ่อแม่ที่จะต้องค่อยๆสังเกต และปรับตัวให้เข้ากับสมาชิกตัวน้อยคนนี้
     ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่มาพบหมอครั้งแรกตามนัด 1 เดือน จึงเป็นเวลาที่คุณพ่อคุณแม่จะได้พูดคุย ถามไถ่ข้อสงสัย เพื่อคลายความกังวล ส่วนคุณหมอจะได้ตรวจร่างกายลูก เพื่อดูการเจริญเติบโต และพัฒนาการว่าเป็นไปตามวัยหรือไม่ รวมถึงแนะนำเรื่องการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดกับทารกวัยนี้ด้วย
     ต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่คุณพ่อคุณแม่ควรทราบและใส่ใจ เพื่อการ ดูแลลูกแรกเกิดในเดือนแรกนี้ค่ะ
     1. การนัดมาตรวจหลังจากกลับบ้าน 
     หลังจากนำลูกกลับบ้าน ในช่วงสัปดาห์แรก จะเป็นช่วงที่ทุกคนปรับตัวเข้าสู่วิถีชีวิตใหม่ที่มีลูกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ถ้าทั้งพ่อและแม่ช่วยกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ศึกษาและสังเกตลูก จะทำให้การปรับตัวค่อยเป็นค่อยไปอย่างราบรื่น
     ถ้าลูกคลอดโรงพยาบาลของรัฐ คุณหมอมักจะนัดเมื่อครบ 1 เดือน (บางแห่งนัด 2 เดือน) แต่ในช่วงระหว่างนั้นจะมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไปเยี่ยมบ้าน เพื่อแนะนำการเลี้ยงดู แต่สำหรับคลินิกและโรงพยาบาลเอกชน หมอมักจะนัดกลับมาดูหลังจากกลับบ้านประมาณ 7 วัน เพื่อดูเรื่องต่อไปนี้ค่ะ
– มีตัวเหลืองหรือไม่?
ทารกที่กลับบ้านเร็วก่อนอายุ 4 วัน อาจจะยังไม่เห็นตัวเหลืองในวันที่กลับบ้าน เพราะอาการตัวเหลืองที่เกิดเป็นปกติในทารกแรกเกิดจะเริ่มเห็นตั้งแต่วันที่ 3-4 การนัดกลับมาดูในช่วงนี้ เพื่อดูว่าตัวเหลืองหรือไม่ เหลืองมากน้อยเพียงใด ถ้าดูเหลืองมากอาจจะต้องเจาะเลือดเพื่อดูระดับสารเหลืองและหาสาเหตุ
– สะดือแห้งดีหรือไม่?
หลังคลอดมักจะแนะนำให้เช็ดตัวทารกไปก่อน จนกว่าสะดือจะหลุดจึงค่อยลงอาบน้ำในอ่างน้ำ ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดสะดือ โดยดึงสะดือขึ้นจนเห็นรอยต่อระหว่างสะดือกับผิวหนัง และเช็ดบริเวณนั้นให้สะอาด ถ้าสะดือหลุดแล้ว อาจมีเลือดซึมเล็กน้อยและหยุดไปเอง บริเวณตอที่สะดือเพิ่งหลุดออกไป จะมีสีเหลืองๆ ดูเปียกเยิ้มอยู่สักวันสองวัน แล้วจะแห้งกลายเป็นผิวหนังปกติในที่สุด
– การกินนมเป็นอย่างไร?
คุณแม่ที่ต้องการให้ลูกได้นมแม่ ควรให้ลูกดูดนมแม่อย่างเดียวโดยยังไม่ต้องให้นมอื่น หากช่วงนี้มีปัญหา จะได้ให้คำแนะนำและแก้ไขเสียตั้งแต่เนิ่นๆหลังคลอด
     ปัญหาที่พบบ่อยคือ ความกังวลว่าน้ำนมแม่ออกน้อย กลัวลูกดูดไม่พอ (เพราะคุณแม่ไม่ได้เห็นกับตาว่าลูกได้นมเข้าไปเท่าไร) การที่น้ำนมแม่จะมีมากนั้นขึ้นกับการดูดของลูกโดยตรง ก่อนที่ลูกจะดูดนมแม่ได้คุณแม่ต้องอุ้มลูกให้ถูกท่าก่อนค่ะคืออุ้มให้ลูกตะแคงทั้งตัว ท้องลูกแนบท้องแม่ และปากลูกอยู่ระดับเดียวกับหัวนม
     ประการต่อมาคือลูกงับหัวนมเข้าในปากจนลึกมากพอที่เหงือกลูกจะไม่กดลงที่หัวนม และที่สำคัญคือคุณแม่ให้ลูกดูดนมแม่บ่อยเท่าที่ลูกต้องการ ในสัปดาห์แรกนี้อาจจะดูดกันทั้งวันทั้งคืน แต่คุณแม่ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องกกกอดให้ดูดนมถี่เช่นนี้ตลอดไปนะคะ เพราะในเดือนที่สองแม่ลูกจะรู้ใจกันและปรับช่วงเวลาดูดนมให้เหมาะสมกันทั้งคู่ได้
     คุณแม่ควรให้ลูกดูดนมแม่แต่ละข้างให้นานมากพอจนน้ำนมเกลี้ยงเต้า เพื่อที่ลูกจะได้น้ำนมส่วนต้นซึ่งมีน้ำมาก และได้น้ำนมส่วนท้ายที่มีไขมันมากด้วย น้ำนมส่วนท้ายนี้แหละค่ะที่ทำให้ทารกอิ่ม ถ้าลูกดูดข้างละไม่นาน ทำให้ลูกได้แต่น้ำนมส่วนต้น ยังไม่ได้ไขมันตบท้ายมื้ออาหาร จึงทำให้หิวบ่อยได้ค่ะ
– การถ่ายอุจจาระเป็นอย่างไร?
ทารกที่กินนมแม่มักจะถ่ายอุจจาระบ่อย วันละหลายครั้ง บางคนถ่ายอุจจาระหลังกินนมแม่ทุกครั้ง ทั้งนี้เพราะเมื่อลูกดูดนมแม่ จะมีการกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวขับอุจจาระออกมา ลักษณะอุจจาระจะเหลวคล้ายสังขยา สีเหลืองทอง เป็นอุจจาระปกติไม่ใช่ท้องเสียค่ะ
     2. การนัดตรวจเมื่อลูกอายุครบ 1 เดือน
– การเจริญเติบโตด้านร่างกาย
ดูจากการชั่งน้ำหนัก วัดความยาว วัดเส้นรอบศีรษะ และเส้นรอบอก น้ำหนักเฉลี่ยในเดือนแรกจะขึ้นจากแรกเกิดประมาณ 500-800 กรัม คุณหมอจะบันทึกน้ำหนัก ส่วนสูง ลงในเส้นกร๊าฟแสดงการเจริญเติบโต ซึ่งมักจะมีในสมุดสุขภาพของทารกแต่ละคน
แม่ไม่ควรนำน้ำหนักของลูกไปเปรียบเทียบกับของเด็กคนอื่น ให้เปรียบเทียบกับตัวของเขาเอง กล่าวคือดูว่าน้ำหนัก ส่วนสูง ของลูกไต่ขึ้นไปตามเส้นกร๊าฟที่แสดงน้ำหนัก ส่วนสูงแรกเกิดของเขาหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ทารกที่น้ำหนักแรกคลอด 2 กิโลกรัม จะมีเส้นกร๊าฟสำหรับน้ำหนัก 2 กิโลกรัม อย่าไปเปรียบเทียบกับทารกที่แรกคลอดหนัก 3 กิโลกรัม หากน้ำหนักขึ้นขนานไปกับเส้นกร๊าฟถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
เส้นรอบศีรษะก็เช่นเดียวกัน หากวัดแล้วขึ้นได้ปกติ ถือว่าการเจริญของสมองปกติ
– พัฒนาการของทารก
ทารกในวัยนี้เมื่อจับนอนคว่ำ จะยกศีรษะขึ้นได้เล็กน้อย เมื่อเอาไฟฉายส่องที่หน้าจะตอบสนองโดยการกะพริบตา ทารกสามารถจับจ้องมองหน้าแม่และมองตามได้ มีการตอบสนองต่อเสียงของคนที่คุ้นเคยโดยหันหาที่มาของเสียงได้
– พฤติกรรมของทารก
ทารกวัย 1 เดือนจะเริ่มมีพฤติกรรมตอบสนองต่อการอุ้มของพ่อและแม่ ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า เมื่อแม่อุ้ม การขยับแขนขา การแสดงสีหน้าของทารกจะดูนุ่มนวล เหมือนรอคอยให้แม่เห่กล่อม แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นพ่ออุ้ม สีหน้า การขยับแขนขาจะเปลี่ยนไปเป็นแบบแข็งๆขืนๆ เหมือนกับรู้ว่า ถ้าพ่ออุ้มจะมีการหยอก เล่น ลูกเริ่มเรียนรู้ว่าพ่ออุ้มไม่เหมือนแม่ พฤติกรรมนี้แสดงให้เห็นว่าทารกเล็กๆ ก็เริ่มมีการพัฒนาของสมองส่วนความจำแล้ว
เมื่อทารกอายุครบเดือน แต่ละคนจะแสดงลักษณะเฉพาะตัวให้เห็นมากขึ้น เช่น เป็นเด็กขี้ร้องปลอบให้หยุดยาก หรือเป็นเด็กที่กินแล้วเอาแต่นอน พ่อแม่ที่ใกล้ชิดลูกจะสังเกตและตอบสนองลูกได้ตามลักษณะของลูก แต่โดยทั่วไปแล้วทารกที่ครบเดือนส่วนใหญ่จะร้องไห้มากขึ้นกว่าช่วงที่เพิ่งแรกเกิด ทั้งนี้เพราะระบบประสาทมีความสมบูรณ์ขึ้น รู้ร้อนรู้หนาวมากขึ้นนั่นเองค่ะ
     3. การร้องไห้ของลูกคือการสื่อสาร 
     คุณพ่อคุณแม่หลายรายคิดว่าเมื่อใดที่ลูกร้องแสดงว่าลูกมีความเจ็บปวด ทั้งนี้เพราะเราเอาความรู้สึกของผู้ใหญ่มาตัดสิน คือผู้ใหญ่จะร้องไห้ต่อเมื่อเจ็บตัวหรือเจ็บใจ ก็คิดว่าทารกจะร้องเพราะสาเหตุเดียวกัน แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้นค่ะ
ทารกยังไม่มีภาษาพูดที่จะพูดจาสื่อให้คนอื่นรู้ ทารกจึงใช้การร้องไห้นี่แหละค่ะแทนภาษาพูด เพราะฉะนั้น พ่อแม่ต้องมาเรียนรู้ภาษาของลูก คือเรียนรู้ว่าเสียงร้องแต่ละแบบนั้นลูกต้องการบอกเราว่าอย่างไร หิว เปียก ร้อน หนาว หรือว่าเพียงแค่ต้องการให้อุ้ม การตอบสนองต่อการร้องไห้ของลูกจะไม่ทำให้เสียเด็ก ตรงกันข้าม การตอบสนองที่ถูกต้องทำให้ลูกเกิดความเชื่อมั่น และความไว้วางใจ ซึ่งคือรากฐานของพัฒนาการในช่วงวัยทารกนี้
นอกจากเรียนรู้ภาษาของลูกแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรจะพูดคุยกับลูกไปด้วยในช่วงเวลาที่ลูกตื่น เช่น หลังอาบน้ำ ลูกจะสดชื่นพร้อมที่จะรับฟังค่ะ
     4. การนอนหลับของลูก 
     ในช่วงเดือนแรกทารกมักจะยังนอนหลับในระหว่างเวลากลางวัน และตื่นในเวลากลางคืน เหมือนขณะที่ยังอยู่ในท้องแม่ คุณแม่จึงควรปรับตัวให้งีบหลับไปกับลูกในช่วงที่ลูกหลับได้ หลังจากเดือนแรกไปแล้ว ทารกจะค่อยๆปรับการนอนเป็นนอนกลางคืนตื่นกลางวัน
     5. การกินนม 
     ทารกอายุหนึ่งเดือนยังกินนมแม่อย่างเดียว ไม่ต้องให้อาหารอื่นเสริม เพราะทารกยังไม่มีน้ำย่อยสำหรับย่อยอาหารอื่น และนมแม่เป็นอาหารที่มีประโยชน์ที่สุดสำหรับลูก มีสารอาหารต่างๆครบถ้วน รวมทั้งสารป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ที่สำคัญคือมีสารที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของสมอง
     6. คำแนะนำเพื่อป้องกันอุบัติเหตุในทารก 
     อุบัติเหตุที่อาจเกิดกับทารกวัย 1 เดือนมักเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมรอบๆตัว เช่น น้ำที่ใช้อาบร้อนเกินไปจนเป็นอันตรายต่อผิวหนังของทารก ป้องกันได้โดยการใช้ข้อศอกของแม่จุ่มลงในน้ำอาบของลูกทุกครั้งก่อนอุ้มลูกลงในอ่าง ถ้าใช้วิธีต้มน้ำ ให้ใส่น้ำเย็นก่อนแล้วจึงเติมน้ำร้อนลงไปผสมให้อุ่นพอดี ถ้าใช้น้ำร้อนจากเครื่องทำน้ำร้อน ให้ตั้งอุณหภูมิเครื่องที่ 120 องศาฟาเรนไฮต์
ขณะอาบน้ำให้ลูก….
– อย่าใช้มือที่ลื่นสบู่ประคองตัวลูก เพราะลูกอาจจะลื่นหลุดจากมือได้ง่าย
– อย่าทิ้งทารกไว้ในอ่างน้ำโดยไม่มีคนดูแม้เพียงนาทีเดียว
– อย่าวางลูกไว้บนเตียงหรือโซฟาโดยไม่มีคนดูแล
– อย่าทิ้งทารกไว้กับเด็กหรือสัตว์เลี้ยงโดยไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย
– ให้ทารกนอนหลับหงายบนที่นอนที่แข็งพอสมควร ไม่ควรนอนคว่ำค่ะ
 แหล่งที่่มาของเนื้อหา : http://women.mthai.com/momandchildren/mom-child/129606.html
แหล่งที่มาของวีดีโอ : https://www.youtube.com/watch?v=1yYE4-2VG-o

สุดยอดสมุนไพรรักษาเบาหวาน

       โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus) จัดเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากร่างกายมีกระบวนการเมตาบอลิซึม (ทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน) ที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดที่ได้จากอาหารไปใช้ตามปกติได้
         โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากความบกพร่องของการหลั่งอินซูลินผิดปกติ ซึ่งอินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มเซลล์ภายในตับอ่อน มีหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดไปสู่เนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกายเพื่อสร้างพลังงาน เมื่อร่างกายของผู้ป่วยโรคเบาหวานมีอินซูลินไม่เพียงพอก็จะทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นนั่นเอง โดยสามารถเกิดโรคแทรกซ้อนต่อระบบต่างๆ ตามมาได้ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองอุดตัน ไตวาย และปลายประสาทเสื่อม ทำให้มีอาการชาซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดแผลบริเวณอวัยวะส่วนปลายได้ 



 รู้จักกับโรคเบาหวานกันพอสมควร หลายคนคงรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาทันที แต่ก็อย่าพึ่งตกอกตกใจไป เพราะโรคเบาหวานสามารถรักษาเยียวยาให้อาการดีขึ้นได้ โดยวันนี้เราได้นำสุดยอดสมุนไพรเบาหวานแบบไทยๆ สามารถหาได้ใกล้ตัวมาให้ท่านผู้อ่านได้ทำความรู้จัก จะได้นำไปบอกต่อคนรอบข้างที่กำลังป่วยเป็นเบาหวาน ช่วยให้มีอาการดีขึ้น
 
สุดยอดสมุนไพรเบาหวาน

         1.ตำลึง ไม่ว่าใบอ่อนหรือแก่ก็สามารถใช้รับประทานเพื่อรักษาเบาหวานได้ โดยตำลึงนั้นทั้งปลูกง่ายและให้สารอาหารที่มีคุณค่ายิ่งกับร่างกาย มีแบต้าแคโรทีน ป้องกันมะเร็ง แถมยังมีแคลเซียมในปริมาณสูง ธาตุเหล็กและฟอสฟอรัสอยู่อีกไม่น้อย และยังช่วยลดน้ำตาลในเลือด เร่งการหายของแผล เป็นสมุนไพรเบาหวานที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นผักหาง่าย ราคาย่อมเยา แต่ให้คุณค่ามหาศาล
         2.กะเพรา เรานิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารไทยเป็นส่วนใหญ่ แต่คุณทราบหรือไม่ว่ากะเพรานั้นมีสรรพคุณทางยาในหลายๆด้าน ทั้งแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง ขับเสมหะ ทำให้โล่งจมูก ช่วยลดความดันในเลือด ยั้บยั้งการเกาะกันของเกล็ดเลือด เพิ่มระยะเวลาแข็งตัวของเลือด ช่วยลดไขมันในเลือด และปริมาณคอเลสเตอรอล ปกป้องตับเนื่องจากการถูกทำลายของสารคาร์บอนเตตราคลอไรด์ หรือสารปรอท ที่สำคัญมีฤทธิ์ช่วยลดน้ำตาลในเลือด และรักษาโรคเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้


3.ว่านหางจระเข้ สมุนไพรเบาหวานอย่างว่านหางจระเข้ แม้จะขึ้นชื่อเรื่องสรรพคุณในการใช้ภายนอก ช่วยสมานแผลให้หายเร็ว มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ แต่ว่านหางจระเข้ยังมีคุณสมบัติในการป้องกันโรคเบาหวานได้อีกด้วย วิธีใช้คือให้ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร นำไปรับประทานทุกวัน หรือจะปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ เพื่อรับประทานก็ได้ โดยอาการเบาหวานจะทุเลาลงตามลำดับโดยเฉพาะในผู้ที่เป็นเบาหวานในระยะแรก
         4.กระเจี๊ยบมอญ คนส่วนใหญ่อาจรู้จักกระเจี๊ยบแดงมากกว่า เนื่องจากนิยมรับประทานน้ำกระเจี๊ยบแดงมากในปัจจุบัน แต่กระเจี๊ยบมอญที่ว่านี้สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ โดยการต้มแล้วจิ้มกับน้ำพริก มีสรรพคุณทางยามากมาย โดยในสมุนไพรเบาหวานนี้มีสาร mucilage และ peetin ในผลอ่อน จะเป็นส่วนสำคัญที่ลดน้ำตาลในเลือด โดยสารเมือก (mucilage) จะไม่ถูกย่อย ไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกาย ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาล ผ่านผนังลำไส้ ดูดซึมน้ำตาลเข้ากระแสเลือดได้ช้าลง ทำให้น้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยไม่สูงขึ้น จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้
         สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน นอกจากจะใช้สมุนไพรใกล้ตัวดังกล่าวแล้ว การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งสำคัญ ควรออกกำลังนานเกินกว่า 30 นาที โดยแบ่งเป็นอบอุ่นร่างกาย 10 นาที และช่วงของการออกกำลังแบบเบาๆอีก 10 นาทีด้วย ทั้งนี้ ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดบาดแผลที่บริเวณเท้า การออกกำลังกายควรเลือกประเภทที่ไม่มีผลต่อการบาดเจ็บที่เท้า ที่แนะนำสำหรับคนป่วยเบาหวานก็อย่างเช่น ฝึกโยคะ รำมวยจีน การเดินเร็ว การว่ายน้ำ เป็นต้น เพียงแค่นี้สุขภาพร่างกายก็จะกลับมาแข็งแรงสมบูรณ์ได้ไม่ยาก

แหล่งที่มา : http://www.beauty24store.com/4-สุดยอดสมุนไพรเบาหวาน-ที่หาได้ใกล้ตัว/1113.html

ประโยชน์ของกล้วยแต่ละชนิด

     กล้วยที่คนไทยนิยมรับประทานมีมากมาย ประโยชน์ของกล้วยก็เช่นกันมีมากมาย บางคนถือเอากล้วยเป็นอาหารลดความอ้วน บางคนทำมาทานเป็นผลไม้ที่เหมาะกับการเป็นของว่าง แต่จริงๆ แล้วนั้นนอกจากความอร่อย ถูกปากคนไทย กล้วยยังมีประโยชน์ในเชิงโภชนาการ และสารอาหารอีกมากมายที่เรายังไม่เคยรู้


กล้วยหอม
     ใครจะเชื่อว่าประโยชน์ของกล้วยหอม สามารถช่วยเลิกบุหรี่ได้, ลองทานไอศครีมใส่กล้วยหอมเย็นๆทานแล้วเข้ากันสุดๆ แต่ในกล้วยหอมที่เราทานเข้าไปยังมีประสิทธิภาพช่วยผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ เพราะวิตามินบี 6 บี 12 โพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่มีอยู่มาก ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคตินได้ดี เรียกง่ายๆว่าช่วยลดอาการเหวี่ยงจากการขาดบุหรี่ได้ดีนั่นเอง นอกจากนี้สำหรับสาวๆ ก่อนมีประจำเดือน ที่ทำให้หงุดหงิด ปวดท้อง ปวดหัว กล้วยหอมก็ช่วยลดอาการเหล่านี้ได้ดีอีกด้วย
กล้วยน้ำว้า
     
ประโยชน์ของกล้วยน้ำว้าแก้โลหิตจาง, คิดถึงของหวานทีไร เป็นต้องคิดถึงกล้วยบวชชีทุกที…แต่เพิ่งมารู้ประโยชน์เอาตอนโตแล้วว่า กล้วยน้ำว้านี่มีสารอาหารเพียบ โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้าห่ามและสุกที่มีธาตุเหล็กในปริมาณสูง ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง และยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซี แคโรทีน ไนอาซีน และใยอาหาร ที่ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย
กล้วยไข่
     ประโยชน์ของกล้วยไข่ช่วยลดริ้วรอย, หลังจากอ่านประโยคนี้จบ สาวๆคงมานิยมทานกล้วยไข่แน่ๆ เพราะในกล้วยไข่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือเบต้าแคโรทีน ช่วยชะลอความชราและริ้วรอยต่างๆ ร่วมไปถึงความเสื่อมของเซลล์ ที่สำคัญยังมีฤทธิ์ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งและยับยั้งการเจริญเติบโตของ เซลล์เนื้อร้ายได้… ซึ่งไม่เฉพาะแต่ผลกล้วยเท่านั้น ในหัวปลียังมีแคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อกระดูกและเนื้อเยื่อของเราด้วย




กล้วยหักมุก
     ประโยชน์ของกล้วยหักมุกแก้โรคกระเพาะ, เด็กๆ รุ่นใหม่คงจะไม่ค่อยรู้จักกล้วยหักมุกสักเท่าไร เพราะกล้วยหักมุกเป็นกล้วยที่ส่วนใหญ่แล้วเขาจะเอาไปปิ้งก่อนแล้วค่อยทาน ใครที่ปัญหาเรื่องโรคกระเพาะอาหารบ่อยๆ ต้องรีบหามาทานกันด่วนๆ ด้วยคุณสมบัติโดดเด่นของสารที่เรียกว่า ไซโตอินโดไซด์ 1, 2, 3, 4, 5 ซึ่งช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากแผลในกระเพาะอาหารได้ดีมากๆ และยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย สาเหตุท้องเสีย จากเชื้อโรคเอสเคอริเคีย โคไลด้วย


แหล่งที่มา : http://www.thailovehealth.com/nutrient/health-73.html

ทำไมต้องไปดูไบ

     ดูไบ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศมีพื้นที่ประมาณ 3,225 ตารางกิโลเมตรและมีประชากรประมาณ 1,674,527 คน ดูไบถือเป็นเมืองแห่งความมหัศจรรย์เพราะที่ถูกผันแปรจากดินแดนทะเลทรายมาสู่ความมั่งคั่งในการค้า บริการการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และศูนย์กลางธุรกิจไม่จำกัดเฉพาะการค้าน้ำมันแบบก่อนๆ 





สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ 

         ดูไบเป็นเมืองที่เรียกได้ว่าล้ำสมัยไปด้วยเทคโนโลยีต่างๆและสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ตระการตา ขณะเดียวกันก็ยังเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าสะอาดและปลอดภัยแต่ที่ดูไบเป็นหนึ่งในลิสต์ของนักท่องเที่ยวหลายคน (โดยเฉพาะนักช้อป)ก็เพราะว่าที่นี่มีการขายสินค้าปลอดภาษี นอกจากนี้ดูไบยังมีตลาดหรือที่เรียกว่า ซุก (Souk) โดยจะขายสินค้ามากมายหลายอย่างซุกที่ขึ้นชื่อก็ย่าน Deira Covered Souk ซึ่งถือว่าเป็นตลาดใหญ่ของดูไบ 

          นอกจากนี้หากมาดูไบและไม่ได้พูดถึงหรือไม่ได้มาเดินแถว Gold Soukก็ถือว่าไม่ได้มาถึงดูไบเพราะที่นี้ถือเป็นตลาดทองรูปพรรณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลางแต่ขอเตือนว่าหากมาเดินย่านนี้คงต้องสวมแว่นกันแดดติดตามาด้วยเพื่อความปลอดภัยของสายตาท่าน(ก็แสงแดดที่ส่องสะท้อนมายังทองดูไบดูแล้วเจิดจ้าบาดตาจริงๆ)




อาคารเบิร์จดูไบ 

         เบิร์จดูไบ (ภาษาอาหรับ: برج دبي , Burj Dubai - หอคอยดูไบ)เป็นตึกระฟ้าสูงยวดยิ่ง ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างในย่านกลางเมืองดูไบและเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จก็จะถูกจัดเป็นอาคารระฟ้าที่สูงที่สุดในโลกกำหนดให้เข้าใช้งานได้ในต้นปี พ.ศ. 2552 ณ โดยจะสร้างให้มีความสูงประมาณ818 เมตร ในดูไบยังมีโครงการก่อสร้างตึกในชื่อว่า อัลเบิร์จที่กำลังอยู่ในระหว่างการออกแบบและวางแผนโดยความสูงยังคงถูกเก็บเป็นความลับเช่นกันโดยประมาณการว่าอาจจะสูงอย่างน้อย 800 เมตร 

         การตกแต่งภายในจะบ่างออกเป็นโรงแรมอาร์มานี 37 ชั้นล่าง โดยชั้น 45 ถึง108 จะเป็น อพาร์ตเมนต์ โดยที่เหลือจะเป็นออฟฟิศสำนักงาน และชั้นที่ 123และ 124 จะเป็นจุดชมวิวของตึก ส่วนบนของตึกจะเป็นเสาอากาศสื่อสารนอกจากนี้ชั้น 78 จะมีสระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่และตึกนี้จะติดตั้งลิฟต์ที่เร็วที่สุดในโลก ที่ความเร็ว 18 ม/วินาที (65กิโลเมตร/ชั่วโมง, 40 ไมล์/ชั่วโมง)



สวนสัตว์ดูไบ 

         ถึงแม้ว่าสวนสัตว์ของดูไบ ที่ตั้งอยู่บนถนน Jumeirah Beach จะเล็กไปบ้างแต่เชื่อได้ว่าคุณต้องรู้สึกทึ่ง กับบรรดาสัตว์หลากหลายชนิดอาศัยที่อยู่ในนี้ เพราะนอกจากคุณจะได้เพลิดเพลินไปกับนกนานาประเภทแล้ว คุณยังต้องรู้สึกตื่นเต้นไปกับสัตว์น้อยใหญ่ รวมไปถึงสัตว์ที่มาจากต่างประเทศด้วย 



The Creek 

         เป็นจุดชมทิวทัศน์ มีลักษณะเป็นท่าเรือที่ตัดผ่านใจกลางเมืองซึ่งเป็นศูนย์รวมประวัติศาสตร์และเป็นย่านชุมชนใน ดูไบ The Creekเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเดินเล่นชมวิวทิศทัศน์ยิ่งผู้ที่สนใจวัฒนธรรมและประเพณีของผู้คนชาติต่างๆจะต้องรู้สึกชื่นชมและประทับใจกับภาพทั้งสองฟากฝั่งโดยเฉพาะภาพที่นกนางนวลหลายร้อยตัวบินโฉบฉวัดเฉวียนผ่านเรือสัญจรหรือที่เรียกว่า เรือเดา (dhow)มีลักษณะเป็นเรือใบเสาเดียวทีชาวอาหรับใช้เป็นพาหนะที่แล่นผ่านไปมามีพระอาทิตย์ดวงกลมโตที่ค่อยๆ ลดแสงลง เป็นฉากหลัง 

         คุณสามารถล่องเรื่อข้ามฟากชื่นชมสองฝั่งของดูไบได้ตรงท่าขึ้นเรือตรงข้ามกับโรงแรมคอนติเนนตัลในฝั่ง Deira และตรงข้ามกับซุกเก่าในเขต Bur Dubaiและที่กับภาพความสวยงามเหล่านั้นได้อย่างชัดเจนที่สุดคือตรงจุดที่เรียกว่าabra ซึ่งเป็นทางเข้าทางน้ำเล็กๆ กั้นระหว่างซุก Deira กับด้าน Bur Dubaiและหากคุณล่องเรือไปจนสุดปลายอ่าวคุณจะเห็นทะเลสาบบนเกาะหินปะการังขนาดใหญ่และเป็นที่ตื้นเขินซึ่งในปัจจุบันกลายเป็นที่อพยพของสัตว์ โดยเฉพาะนกที่ในฤดูหนาวจะอพยพมาตั้งหลักแหล่งในคราวเดียวกันถึง 27,000 ตัวโดยเฉพาะนกฟลามิงโกใหญ่ 


แหล่งที่มาของเนื้อหา : http://whytodubai.blogspot.com/
แหล่งที่มาของวีดีโอ : https://www.youtube.com/watch?v=IRLbvJ-CEPc